คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

จากผลวิจัยของสำนักข่าวเอพีที่ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ปีค.ศ.2023 ในหัวข้อที่ว่า การบิดเบือนและการนำเสนอข้อมูลแบบผิดๆของ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” เกี่ยวกับการเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 2020 ปรากฏผลออกมาว่า มีชาวอเมริกันถึง 57% ต่างพากันเชื่อว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ได้ชนะการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย

โดยสำนักข่าวเอพีได้สรุปว่าผลแพ้ชนะของการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั้นไซร้แสนจะห่างไกลกันมากทีเดียว โดยคะแนนอิเล็กโทรัลโหวต (Electoral vote) ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีอยู่ที่ 306 คะแนน ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับอยู่แค่ 232 คะแนนเท่านั้น แถมคะแนนป๊อปปูลาร์โหวต  ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ได้รับมากกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ถึงเจ็ดล้านกว่าคะแนนด้วยซ้ำไป!!! (ข้อมูลจาก Trump’s drumbeat of lies about the 2020 election keep getting louder: AP August 27, 2023)

นอกจากนั้นแล้วความเพียรพยายามของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ต้องการจะล้มการเลือกตั้งในครั้งนั้น ยังมีผลทำให้เขาต้องถูกตั้งข้อหาคดีอาญา 4 คดี 91 ข้อหาว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโยงใยเหตุการณ์ก่อจลาจลเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ที่ได้สร้างความวุ่นวายแบบสุดๆ และยังเป็นโศกนาฏกรรมที่ฝูงชนหลายพันคนบุกเข้าสู่รัฐสภาขณะที่กระบวนการนับคะแนนเลือกตั้งกำลังดำเนินอยู่ โดยนักการเมืองที่กำลังดำเนินการนับคะแนนต่างวิ่งพากันหนีหัวซุกหัวซุนเอาตัวรอด อีกทั้ง “รองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์” ซึ่งรับหน้าที่ประธานการประชุมก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดหนีตายแบบเส้นยาแดงผ่าแปดผ่าสิบ เพราะฝูงชนตามหาตัวต้องการจะเอาเขาไปแขวนคอ

แม้ว่าเหตุการณ์จลาจลบุกเข้าสู่รัฐสภาจะผ่านไปแล้วเกือบสี่ปีก็ตาม แต่ชาวอเมริกัน 53% ลงความเห็นว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกตำหนิ  

ทว่าความคิดเห็นของฐานเสียงที่ชื่นชอบสังกัดค่ายพรรคเดโมแครตถึง 86% ลงความเห็นว่า เหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ควรจะเป็นผู้รับความผิดชอบ ส่วนฐานเสียงของค่ายพรรครีพับลิกันมีเพียงน้อยนิดแค่เพียง 14% เท่านั้น ที่เห็นว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์สมควรที่จะรับผิดชอบ!!!

อนึ่งเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2023 สำนักข่าวเอพีได้ออกมาสรุปว่า การกระทำของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ในเหตุการณ์ก่อจลาจล เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ทำลายความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อกระบวนการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2024 บรรดาสื่อต่างๆในสหรัฐฯต่างออกมาประโคมข่าวกันอย่างหนาหูว่า “อดีตประธานกรรมการกลางรอนนา แม็คแดเนียล” สังกัดค่ายพรรครีพับลิกัน(โดยจำนวนของคณะกรรมการกลางมีทั้งหมด 167 คน) ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการกลางติดต่อกันมานานเจ็ดปี ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “เหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ยอมรับไม่ได้ และผู้ที่บุกโจมตีรัฐสภา ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงของเรา ไม่สมควรจะได้รับอภัยโทษ” ซึ่งที่ผ่านๆมาเธอพยายามจะหลีกเลี่ยงเบี่ยงเบนความสนใจมานานหลายปี

นอกจากนั้นอดีตประธานกรรมการกลางรอนนา แม็คแดเนียล ยังได้แถลงต่อไปว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับเลือกตั้งมาอย่างถูกต้อง และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯตามกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย” ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอเคยออกมากล่าวยืนยันย้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่าว่า การเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 2020 เป็นเท็จและมีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!!!

น่าแปลกที่ถ้อยแถลงของเธอในครั้งนี้ ช่างผิดไปจากการให้สัมภาษณ์ของเธอต่อ พิธีกรชื่อดัง “คริส วอลเลซ”ในรายการของสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นเมื่อปีกลายอย่างสิ้นเชิง

เมื่อเหตุการณ์ออกมาเยี่ยงนี้มีผลทำให้เธอตกเป็นเป้าให้จ้องจับผิด โดยหัวหน้านักวิเคราะห์ข่าวการเมืองของสถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีซี นามว่า “ชัค ท๊อดด์” ได้ออกมาพูดในรายการ “Meet the Press” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2024 ว่า สงสัยว่าขณะนี้อดีตประธานกรรมการแม็คแดเนียล จะมีปัญหาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือเสียแล้ว

อนึ่งหากจะย้อนกลับไปดูความเป็นมาเป็นไปของต้นตระกูลรอนนา แม็คแดเนียล แล้ว จะเห็นได้ว่า เธอมาจากครอบครัวที่เคร่งศาสนา โดยเธอเป็นหลานสาวของนักการเมืองชื่อดัง “วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์”

โดยขณะนี้ รอนนา แม็คแดเนียล กำลังตกเป็นเป้าถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แถมยังมีเสียงเรียกร้องต้องการให้สถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีซี เลิกจ้างเธอจากการเป็นนักวิเคราะห์ข่าวการเมืองอีกด้วย

หากจะวิเคราะห์กันอย่างเป็นกลางแล้วนั้น ผมก็มีความคิดเห็นว่ารอนนา แม็คแดเนียลไม่ควรที่จะทำหน้าที่รับผิดชอบทางด้านสื่อด้วยเช่นกัน

คราวนี้ผมใคร่ขอวิเคราะห์ถึงสถานการณ์การเมืองของนักการเมืองสองค่ายสองขั้วระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับประธานาธิบดีทรัมป์ดูบ้าง

ขณะนี้เวลาของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ยังคงเหลือเวลาอีกแค่เพียงเจ็ดเดือน ดังนั้นคนอเมริกันส่วนใหญ่ต่างก็ลุ้นกันว่า ใครจะเป็นผู้ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่?

ยิ่งเวลาเหลือน้อยลงเท่าใด เราก็เริ่มจะเห็นข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดนและอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มากขึ้นทุกทีๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเม็ดเงิน ด้านภาพลักษณ์รวม ด้านคะแนนนิยม ด้านปัญญาภายในพรรรค และด้านปัญหาส่วนตัวของทั้งสองนักการเมือง

เนื่องจากเม็ดเงินถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งนี้จากข้อมูลล่าสุดปรากฏออกมาว่า ขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีเงินสดอยู่ในบัญชีที่ 71 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีมากกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถึงสองเท่าตัวเลยทีเดียว

อีกทั้งขณะนี้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็กำลังเผชิญกับปัญหาการวางเงินประกันในคดีฉ้อโกง 454 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทประกัน 30 แห่ง ต่างพากันส่ายหัวปฏิเสธที่จะค้ำประกัน โดยอัยการแห่งนครนิวยอร์กออกมาขู่ในทำนองที่ว่า เตรียมเดินหน้าพร้อมที่จะเข้าไปยึดทรัพย์ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว!!!

ส่วนคดีอาญา 4 คดี 91 ข้อหา ก็ได้กลายเป็นบาดแผลทางการเมืองแบบเหอะหวะหมอไม่รับเย็บ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมาพูดหยอกล้อแกมประชดประชันว่า “โดนัลด์ ผมต้องขอโทษ ที่ไม่สามารถช่วยเหลือคุณได้”

สำหรับคะแนนนิยมที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยมีคะแนนนำมาโดยตลอดนั้น ปรากฏว่าขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังจะแซงขึ้นหน้าไปแล้ว

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นในเมื่อขณะนี้ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กำลังดวงตกโดนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก แถมยังโดนพระราหูอมไปเกือบมิดตัวทำให้มีบาดแผลทางการเมืองเต็มตัว จนคะแนนนิยมลดน้อยถอยลง แถมเม็ดเงินที่จะต้องใช้จ่ายในการรณรงค์หาเสียงก็มีน้อยกว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ดูเหมือนว่าความทะเยอทะยานอยากที่จะเข้าไปสู่ทำเนียบขาวอีกหนึ่งสมัยของเขาค่อนข้างจะยากลำบากไม่น้อยเลยละครับ