วันที่ 31 มี.ค. 2567 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) เพิ่งเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของนายปรีชาพล พงษ์พานิช กรณีเข้ารับตำแหน่ง กรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2567 ซึ่งมีการแจ้งข้อมูลรายได้จากบุพการีไว้ 360,000 บาท และแจ้งว่า บิดา คือ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อาชีพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มารดา คือ นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช อาชีพ นักสังคมสงเคราะห์

นายเรืองไกร กล่าวว่า กรณีรายได้จากบุพการีไว้ 360,000 บาท ดังกล่าว เป็นเหตุให้ย้อนไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินในส่วนค่าใช้จ่ายของนายเสริมศักดิ์ ที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ไว้ในคราวรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2566 ซึ่งไม่พบการแจ้งค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนที่ให้แก่นายปรีชาพล 360,000 บาท แต่อย่างใด

นายเรืองไกร กล่าวว่า กรณีที่ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน จึงมีเหตุที่ต้องนำข้อเท็จจริงในบัญชีทรัพย์สิน รายได้ ค่าใช้จ่าย ยอดเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ส่งให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบต่อไป ดังนี้ ข้อ 1. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ ต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2566 โดยมีข้อความในส่วนรายรับ ค่าใช้จ่าย เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ดังนี้

นายเสริมศักดิ์ แจ้งว่าตนเองมีรายได้จากเงินบำนาญ 851,409.50 บาท จากเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง 1,362,720 บาท จากดอกเบี้ยเงินฝาก(โดยประมาณ) 200,000 บาท และจากเบี้ยประชุมและค่าเบี้ยเลี้ยง 400,000 บาท รวมเป็นรายได้ทั้งสิ้น 2,814,129.50 บาท

นายเสริมศักดิ์ แจ้งว่าตนเองมีค่าใช้จ่ายอุปโภค 1,600,000 บาท มีค่าช่วยงานพิธีต่าง ๆ 500,000 บาท รวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 2,100,000 บาท และแจ้งเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร 851,409.50 บาท

นายเสริมศักดิ์ แจ้งว่าคู่สมรสมีรายได้จากเงินกองทุนยังชีพสมาชิกรัฐสภา144,000 บาท จากการให้โดยเสน่หาในโอกาสต่าง ๆ 1,000,000 บาท

นายเสริมศักดิ์ แจ้งว่าคู่สมรสมีค่าใช้จ่ายอุปโภค 400,000 บาท มีค่าช่วยงานพิธีต่าง ๆ 50,000 บาท รวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 450,000 บาท และแจ้งเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร 144,000 บาท

ข้อ 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2567 เว็บไซต์ ป.ป.ช. ได้เปิดเผยบัญชีของนายปรีชาพล พงษ์พานิช ที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ ต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งกรรมการการไฟฟ้าภูมิภาค เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2567 โดยมีข้อความในส่วนรายรับ ค่าใช้จ่าย เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ดังนี้

นายปรีชาพล แจ้งว่าตนเองมีรายได้จากเงินกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา144,000 บาท จากบุพการี 360,000 บาท จากดอกเบี้ย 150,000 บาท รวมเป็นรายได้ทั้งสิ้น 654,000 บาท

นายปรีชาพล แจ้งว่าตนเองมีค่าใช้จ่ายส่วนตัว 360,000 บาท และแจ้งเงินได้พึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร 144,000 บาท

ข้อ 3. กรณีที่นายปรีชา พงษ์พานิช แจ้งว่ามีเงินได้จากบุพการี 360,000 บาท เมื่อไปเปรียบเทียบกับรายจ่ายของนายเสริมศักดิ์และคู่สมรส พบว่า อาจจะไม่สอดคล้องกับบัญชีค่าใช้จ่ายของนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช และคู่สมรส เนื่องจากทั้งนายเสริมศักดิ์ และคู่สมรส ไม่ได้ระบุค่าใช้จ่ายที่ให้แก่นายปรีชาพล จำนวน 360,000 บาท ไว้ให้เห็นได้อย่างชัดเจน  กรณี จึงมีเหตุอันควรตรวจสอบว่า ทำไม นายเสริมศักดิ์ และคู่สมรส จึงไม่แจ้งรายจ่ายให้ตรงกับที่นายปรีชาพล แจ้งต่อ ป.ป.ช. และเงินที่นายปรีชาแจ้งว่าได้รับจากบุพการีนั้น จ่ายจากบัญชีของนายเสริมศักดิ์หรือของคู่สมรส  

ข้อ 4. กรณีที่คู่สมรสนายเสริมศักดิ์แจ้งว่ามีเงินได้จากการให้โดยเสน่หาในโอกาสต่าง ๆ 1,000,000 บาท นั้น กรณี จึงมีเหตุอันควรตรวจสอบว่า เงินดังกล่าวถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี หรือไม่

นายเรืองไกร กล่าวสรุปว่า วันนี้ ตนจึงส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ไปถึง ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ว่าแจ้งรายจ่ายสอดคล้องต้องกันกับที่นายปรีชาพล กล่าวอ้างว่าได้มาจากบุพการี 360,000 บาท หรือไม่ และเงินได้ของคู่สมรสนายเสริมศักดิ์ ที่แจ้ง ป.ป.ช. ว่าได้มาจากการให้โดยเสน่หาในโอกาสต่าง ๆ 1,000,000 บาท นั้น มีการนำไปเสียภาษีครบถ้วน หรือไม่