วันที่ 22 เม.ย.2567 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ที่ศาลอาญา ทนายอาขิรญาณ์ ธนาพีระพงศ์ พร้อมด้วย “สารวัตรแจ๊ะ” พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สารวัตรกองกำกับการสืบสวน 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล  ยื่นฟ้อง ทนายรัชพล ศิริสาคร ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา หลังโพสข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวใส่ร้ายว่า จับแพะติดคุกฟรีปีกว่าในคดีข่มขืนเด็กบ้านกกกอก จังหวัดมุกดาหาร เมื่อสมัยตามแกะรอยการตายปริศนาของน้องชมพู่

สารวัตรแจ๊ะ ยืนยันว่า การจับกุมจำเลยคดีดังกล่าวทำไปตามหลักของการสืบสวน ไม่ได้มีการใส่ร้าย หรือกลั่นแกล้งจับกุม ตนมีหน้าที่จับกุมผู้กระทำความผิดเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมให้ศาลพิจารณา แม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้อง ก็ยกฟ้องด้วยเหตุสงสัย ต่อมาศาลอุธรณ์วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างหลักฐานของโจทก์ได้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 279 วรรคสอง จำคุก 2 ปี และเนื่องจากจำเลยมีประวัติความผิดเกี่ยวกับคดีอาญา เป็นเหตุให้เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุสงสัย ไม่ได้ยกฟ้องเพราะเห็นว่ามิได้กระทำความผิดโดยศาลวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย

“การมาฟ้องในวันนี้ถือเป็นการปกป้องชื่อเสียงของผม ทุกวันนี้ผมทำงานมีหน้าที่ผมต้องปกป้องประชาชน ถ้าวันนี้ผมปกป้องตัวเองไม่ได้ ผมจะไปปกป้องคนอื่นได้ยังไง กล่าวหาว่าผมพาผู้ต้องหาไปอยู่เซฟเฮาส์ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทำไมทนายไม่แนะนำให้ลูกความดำเนินคดีกับผมฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวไปเลย ทนายต้องรู้กฏหมาย เป็นการจับกุมตามหมายจับของศาล กระบวนการต่อไปมี พนักงานสอบสวน อัยการ และศาล ไม่เคยรู้จัก ไม่มีเหตุกลั่นแกล้งกัน โพสต์ข้อความใส่ร้ายผมตอนนี้ต้องการอะไร” สารวัตรแจ๊ะ กล่าว 

ด้านทนายอาชิรญาณ์ กล่าวเพื่มว่า การยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยนั้นตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.227 วรรคสอง ต่างจากการยกฟ้องเพราะเห็นว่ามิได้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ตามหลักกฎหมายการพิสูจน์คดีอาญา ถ้าพยานหลักฐานที่ปรากฏต่อศาลยังมีข้อสงสัยอยู่ ว่าจำเลยกระทำความผิดจริงหรือไม่ ศาลก็จะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย หลักนี้มีในกฎหมายไทยและเป็นหลักสากลอยู่แล้ว และคดีที่สารวัตรแจ๊ะถูกกล่าวหาศาลอุธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย นั้นหมายความว่ามีพยานหลักฐานหนักแน่นยืนยันได้ว่าจำเลยกระทำความผิด เพียงแต่ศาลฎีกายกฟ้องเพราะเหตุแห่งความสงสัยบางประการ ไม่ได้หมายความว่าจำเลยจะไม่ได้กระทำความผิด และศาลก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด 

ซึ่งการที่นักกฎหมายหรือทนายความออกมาพูดกล่าวหาสารวัตรแจ๊ะแบบนี้ เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ถ้ามีประชาชนหรือผู้ติดตามเพจสื่อโซเชียลมีเดียเกิดหลงผิดเชื่อขึ้นมา หรือไม่เข้าใจข้อกฏหมาย การพูดแบบนี้ถือว่าเป็นการทำลายหลักกฎหมาย และทำลายตำรวจที่กำลังทำงานเพื่อประชาชนอยู่

“ควรขอบคุณศาลฎีกาที่กรุณาเมตตาปรานีเห็นต่างจากศาลอุทธรณ์ให้แล้วจึงรอดคุก 2 ปี 8 เดือน ศาลยกฟ้องด้วยสงสัย ไม่ได้หมายความว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด ทนายอ่านคำพิพากษาฎีกาเป็นไหม ศาลฎีกายังสงสัยอยู่เลย และจะสงสัยติดสำนวนอยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ถ้าตำรวจจับโจรแล้วศาลยกฟ้อง แล้วตำรวจต้องถูกกล่าวหาว่าจับแพะ ตำรวจคงไม่กล้าจับคนร้าย”ทนายอาชิรญาณ์ กล่าว