นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” พาลูกสาวผู้เสียหายที่ถูก สารวัตรสอบสวน สภ.แห่งหนึ่ง ข่มขู่เพื่อให้กลับคำให้การ กรณีที่ถูกรีดเงิน 100,000 บาท เพื่อช่วยเหลือทางคดี

กัน จอมพลัง เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเรื่อง ทางฝ่ายตำรวจคู่กรณีได้ไปเจรจาขอให้ผู้เสียหายเซ็นเอกสารยอมความ และกลับคำให้การ ถึง 3 ครั้ง อีกทั้งยังมีอดีตตำรวจ บก.ปปป. โทรศัพท์มาบอกให้ผู้เสียหายกลับคำให้การอีกด้วย ตอนแรกทำไม่คิดที่ไปรีดทรัพย์กับผู้เสียหาย แต่พอเกิดเรื่องกลับมาอัอนวอนขอความเห็นใจกับผู้เสียหาย จึงถามสังคมว่า เราอยากให้ตำรวจที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ กลับมารับราชการทำงานเพื่อประชาชนอีกหรือไม่

วันนี้จึงมาร้องทุกข์ที่ บก.ปปป. และมอบข้อมูลให้แก่พนักงานสอบสวน เพื่อพิจารณาเรื่องการถอนประกันสารวัตรรายนี้ และตรวจสอบตำรวจที่เป็นตัวกลางในการช่วยเจรจาให้ผู้เสียหายยอมความด้วย

ด้านลูกสาวผู้เสียหาย เล่าว่า นายตำรวจรายนี้ ได้พาภรรยาที่อ้างว่าป่วยเป็นมะเร็ง และลูก 2 คน มาอ้อนวอนถึงที่บ้าน 3 ครั้ง เพื่อให้เซ็นเอกสารยอมความและกลับคำให้การ และมีการเสนอให้เงินค่าน้ำมันด้วย โดยไปหาถึงที่บ้านในจังหวัดสุโขทัย 1 ครั้ง และพระนครศรีอยุธยา 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังเคยนำกระเช้าของขวัญไปให้แม่ของตนเองที่จังหวัดสุโขทัยอีก 1 ครั้งด้วย โดยล่าสุดเมื่อวานเพิ่งมาถึงที่บ้านในจังหวัดพระนครศรึอยุธยา

ซึ่งการมาถึงที่บ้านตนเองนั้น ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย ว่ารู้จักบ้านของตนเองได้อย่างไร ซึ่งทุกครั้งที่มาก็ได้ปฏิเสธไป และยืนยันว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุด เพราะความจริงก็คือความจริง และอยากได้รับความยุติธรรมกับครอบครัว

สำหรับกรณีนึ้ ก่อนหน้านึ้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. ได้วางแผนเข้าจับกุม  สารวัตรสอบสวนรายนี้ หลังมีพฤติการณ์เรียกรับสินบนจากบิดาผู้เสียหายซึ่งมีอาชีพเป็นผู้รับเหมาทุบตึก ซึ่งถูกดำเนินคดีข้อหา "ร่วมลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ" ได้ร้องเรียนไปยัง "กัน จอมพลัง" ว่าถูก พันตำรวจโท ณัฐพล เรียกรับเงินสินบนค่าทำคดี จำนวน 1 เเสนบาท ซึ่งทางผู้เสียหายได้จ่ายเงินไปเเล้วก้อนเเรก จำนวน 5 หมื่นบาท เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566 นัดที่ลานจอดรถของศาลากลางจังหวัดลพบุรี และให้จ่ายเงินที่เหลือในวันที่ 20 กันยายน 2566

ต่อมา "กัน จอมพลัง" ได้ประสานไปยัง บก.ปปป. เพื่อวางเเผนจับกุม โดยให้ผู้ต้องหาเอาเงินที่เหลืออีกก้อน จำนวน 5 หมื่นบาท ไปให้กับสารวัตรคนดังกล่าว ที่ร้านอาหารเเห่งหนึ่งในอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี

หลังจากที่ นายตำรวจรายนี้ รับเงินจากผู้เสียหาย จึงซ้อนเเผนเข้าจับกุม พร้อมกับดำเนินคดี ซึ่งต่อมาได้ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการ

ส่วนผู้เสียหายนั้น ตกเป็นผู้ต้องหาเนื่องจากเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2565 ได้รับการว่าจ้างจากผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อ "นายบอย" ให้ไปทุบอาคารโรงงาน แต่เมื่อไปถึงสถานที่ก็รู้สึกเเปลกใจ เพราะไม่เหลือโครงสร้างหรือรูปร่างของอาคารแล้ว เนื่องจากถูกทุบไปก่อนหน้านี้ เหลือเพียงเศษซากเท่านั้น จึงทำได้เพียง เข้าไปรื้อเศษซากเเละโครงเหล็กออก แต่มาทราบภายหลัง ว่าที่ดินผืนดังกล่าวถูกธนาคารยึดอยู่ การเข้าไปรื้อถอนหรือกระทำการใด ๆ นั้นถือว่าผิดกฎหมาย ถ้ารู้ตั้งแต่แรกก็จะไม่เข้าไปทุบตึกดังกล่าวแน่นอน ซึ่งต่อมาก็ถูกออกหมายจับในข้อหา "ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ" จากนั้น นายตำรวจนายนี้ก็มาเจรจาเสนอว่าจะช่วยเหลือทางคดี โดยเรียกรับสินบน 3 แสนบาท และได้ต่อรองจนเหลือ 1 แสนบาท