บทความพิเศษ / ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น)

ปีนี้โลกเดือด(ร้อน)

ตอนนี้ไม่เกี่ยวเรื่องฝุ่น PM2.5 โดยตรงเป็นเรื่องอากาศร้อนที่มันเกี่ยวโยงกันได้ ตามข่าวปีนี้จะเป็นปีที่ร้อนที่สุด แม้ช่วงเดือนเมษายนของทุกปี อากาศมันจะร้อนสุดได้ใจ แต่ปีนี้ “โลกจะเดือด” จากความร้อนและความแห้งแล้ง จนทะเลดูดซับความร้อนไม่ไหวเลยทีเดียว เช่นจากเครื่องวัดอุณหภูมิที่ติดโชว์สาธารณะที่เทศบาลจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่วันที่ 22 เมษายน 2567 เวลา 15:47 ร้อนถึง 46 องศา (ภาคเหนือคาดการณ์ที่ 43 องศา) เป็นปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino) ใกล้จบแต่ความร้อนยังไม่จบ บวกกับโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น นี่คือ “โลกเดือด” มิใช่ “โลกร้อนธรรมดา” ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อธิบายว่า ปริมาณฝนสะสมในอีก 3 วันข้างหน้า ดำสนิทเกือบทั้งประเทศ หมายถึงแทบไม่มีฝนจริงจังเลย ยกเว้นภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งฝนที่มาในช่วงนี้ก็ต้องระวัง ลมแรง ตกหนัก ฟ้าผ่า ไฟดับ น้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่เล็กๆ เป็นฝนโลกร้อน ทะเลร้อน น้ำระเหยเยอะ อากาศร้อน เมฆจุไอน้ำได้เยอะขึ้น สำหรับพื้นที่อื่น โลกจะเดือดต่อไป ร้อน แล้ง แห้ง แถมบางพื้นที่อาจมีฝุ่นซ้ำเติม คนที่ทำมาหากินแบบพึ่งพาธรรมชาติ ทำสวน ทำประมง เลี้ยงสัตว์บก/สัตว์น้ำ ต้องระวังให้หนัก เพราะฝนยังไม่มา อุณหภูมิยังไม่ลดทางแก้ ยากมากๆ เพราะเราทำร้ายโลกมาถึงตอนนี้ นับร้อยปีที่ก๊าซเรือนกระจกสะสมบนฟ้า ทะเลช่วยดูดซับความร้อนไว้ แต่ตอนนี้ทะเลบอกไม่ไหวแล้ว มันจึงมาถึงจุดที่ต้องบอกว่า ต้องหาทางรอด ปรับตัวเท่าที่ทำได้ โลกเดือดยังส่งผลต่อเศรษฐกิจรุนแรง ทั้งความแปรปรวนของลมฟ้าท้องน้ำ เรื่อยไปจนถึงภัยพิบัติ

จากข่าวข้างต้นพอจะมองเห็นถึงฤทธิ์เดชของความร้อนที่มิใช่ธรรมดา แต่เป็น “เดือด” ที่ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจการทำมาหากินของชาวบ้านไปด้วย มีเสียงเรียกร้องให้ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องนี้ และ มาช่วยกันปลูกต้นไม้กัน สำหรับคนรักต้นไม้คงไม่มีปัญหา แต่คนอื่นทั่วไปต้องช่วยกันอธิบายว่าทำไมต้องปลูกต้นไม้

ป่าไม้ไทยหายปีละแสนไร่

ภาครัฐต้องกระตุ้นส่งเสริมให้ชาวบ้านได้ปลูกต้นไม้ อาจสนับสนุนเป็นตัวเงินไปเลยว่าต้นละกี่บาท มารับเงินได้ ปลูกกันทั้งประเทศก็ดีอย่างอื่นก็มัวแต่แจกๆ เงิน แค่นี้ทำไมจะแจกกันไม่ได้ ประกอบกับผลกระทบจากการทำสงครามคู่ขัดแย้งในต่างประเทศ ทำให้พืชผลเกษตร สินค้าฉิบหาย ขาดแคลน เพราะทำให้ยูเครนแหล่งผลิตข้าวสาลีโลกลดลง การปล้น โจมตีเรือสินค้าตะวันออกกลาง ทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย คนที่เป็นเกษตรกรชนบทบ้านนอกที่ทำเกษตรไม่มีปัญหา เขาปลูกต้นไม้กันอยู่แล้ว เป็นห่วงว่า อีกไม่กี่ปีป่าแถวบ้านจะไม่เหลือสักต้น ตามข่าวพบว่าปีนี้ (2567) ป่าไม้ไทยหายไปถึง 3 แสนไร่เศษ เหลือพื้นที่ป่าไม้เพียง 101 ล้านไร่ หรือ 37.47% ของพื้นที่ประเทศ สอดคล้องกับที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียรบอกว่าป่าไม้ไทยหายไปปีละแสนไร่

มีคำถามว่า การปลูกเต็มบ้านแล้วช่วยลดความร้อนได้จริงหรือ เพราะความร้อนมันมาได้หลายทาง ไฟป่า เผาฟางข้าว โรงงานต่างๆ รถยนต์ ฯลฯ เยอะแยะ นี่เป็นคำตอบที่กรมโลกร้อน หรือ “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” ที่ตั้งขึ้นใหม่ปี 2566 ต้องหาคำตอบและอธิบายให้ชาวบ้านฟัง ว่าการมีต้นไม้ช่วยได้อย่างไร เพื่อให้คนได้ปลูกกันเยอะๆ รัฐต้องรณรงค์เรื่องนี้ ต้องรณรงค์โครงการปลูกป่าอย่างจริงจัง กรมป่าไม้ต้องมีต้นกล้าแจกฟรี อย่างน้อยก็เริ่มในระดับชุมชนออนไลน์ก่อนก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะโลกทุกวันนี้หายใจเข้าหายใจออกเป็นโซเชียลหมด คนไทยเล่นเน็ตสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ปี 2566 ไทยติดผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก (Facebook) อันดับ 8 ของโลก ปี 2564 ใช้ Facebook Messenger มากเป็นอันดับ 6 ของโลก และใช้ Twitter มากเป็นอันดับ 10 ของโลก

ภาครัฐมัวทำไรอยู่ จะส่งเสริมรณรงค์ปลูกป่ากันแบบใดดี

เพราะว่าหากรัฐยังมัวทำเงื้อง่าจะไม่ทันคนทำลายป่า รัฐบาลคงนิ่งเฉยไม่ได้แล้วอันตรายมากที่ป่าไม้ถูกทำลาย ต้นไม้กว่าจะโตใช้เวลาถึง 10 ปี แต่คนตัดใช้เวลาเพียง 10 นาที วันหนึ่งตัดหลายต้น และก็ตัดไปขายทุกวัน ตัดกันทั่วไปด้วย ไม่ใช่เพียงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เพราะมนุษย์เป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายเอง ในพื้นที่ที่อำนวยรัฐอาจปลูกป่าแบบอุตสาหกรรม อย่างที่ต่างประเทศเขาทำปลูกเป็นผืนป่าเลย และปล่อยพื้นที่ให้รกหญ้ารกต้นไม้เยอะๆ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ หากไม่มีนโยบายจากภาครัฐคุ้มครอง ห้ามตัดต้นไม้โดยเสรี ไม้ที่ตัดไปก็ไปเป็นเชื้อเพลิงให้กับอุตสาหกรรมนายทุน รัฐต้องปลูกฝังให้คนรักตันไม้ ลองประเมินดูว่าพอมีทางใดที่จะแก้ไขบ้าง อีกอย่างด้วยสภาวะอากาศปัจจุบัน ต้นไม้ก็ไม่ได้รอดง่ายๆ แต่ก่อนดูแล 3 ปีถึงจะก็ปล่อยได้ เดี๋ยวนี้ช่วงแล้งก็ต้องให้น้ำช่วยประคองให้จนถึงฤดูฝน ฤดูฝน ลมพายุก็รุนแรง บอกได้เลยว่าไม่ง่ายแล้วที่จะปลูกต้นไม้แล้วโตได้ดั่งใจ หากไม่ดูแล นี่ก็เป็นเพียงหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้มีพื้นที่สีเขียว (Green Zone) เพิ่มขึ้นได้ คนปลูกต้องพยายามมานะด้วย ช่วยกันปลูก ต้นไม้รอดบ้างตายบ้างก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ปัญหาอีกอย่างคนไทยไม่มีที่ส่วนตนที่จะปลูกต้นไม้ หรือพอบ้านเมืองเจริญขึ้น เขตเมืองก็มีแต่ “ป่าคอนกรีต” จะปลูกต้นไม้ในกระถางก็ไม่ได้ หาพื้นที่ปลูกไม่เจอ ที่สิงคโปร์ในเมืองก็ทำได้ทำสวนแนวตั้ง (ปลูกบนตึกตามระเบียงตึก) เพราะการปลูกต้นไม้ใหญ่ต้องมีพื้นที่ให้ปลูก อันนี้เป็นปัญหามากที่ชาวบ้านไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่กลับเป็นว่านายทุนมีสัดส่วนที่ถือครองที่ดินมากกว่าชาวบ้านทั่วไปที่เป็นคนจน แม้รัฐจะพยายามแจกที่ ส.ป.ก.4-01 แก่ชาวบ้าน ยิ่งปีนี้ก็แจก “โฉนดเพื่อการเกษตร” อีกต้องทำจริงจัง อย่าให้มีช่องว่างว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เพื่อให้สิทธิในการเข้าถึงที่ดินอยู่กับชาวบ้านจริงๆ เพราะ กลุ่มนายทุนคนมีทรัพย์พยายามแสวงประโยชน์จากนโยบายรัฐตรงนี้อยู่ มิใช่การปล่อยให้นายทุนถางเอาๆ ชาวบ้านตัวเล็กทำไรไม่ได้ หรือพอป่าเสื่อมโทรมก็แจกเป็น ส.ป.ก. แทนที่จะฟื้นฟู อย่าให้ใครเขาว่ารัฐออก ส.ป.ก.บุกรุกที่ป่า ทำให้ตัดไม้จนภูเขาโล่งเตียน นอกจากนี้ปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติก็สำคัญ เช่นกัน กว่าจะเขียวแบบนี้ได้นับเป็นร้อยปี แต่แอบระเบิดภูเขาเป็นลูกๆ เอาหินขายป่าไม้วอดวายในพริบตา ที่สำคัญอย่าให้มีนายทุนใหญ่ หรือพวกฟอกเงินกว้านซื้อที่ป่ารกร้างจากชาวบ้าน แล้วถากถางเป็นที่ฟาร์ม หรือทำเพื่อประโยชน์แก่พวกทุน

พ่อหลวง ร.9 ท่านเคยพาเราปลูกป่า ปลูกต้นไม้ต้นน้ำลำธาร เพื่อเป็นกำแพงธรรมชาติกันน้ำท่วมกันโลกร้อน แต่ปัจจุบันมีแต่เผามีแต่ทำลายต้นไม้ แรกสุดยังไม่ต้องหวังพึ่งรัฐ หากชาวบ้านพากันปิดตาปิดใจ ไม่มองคนที่ตัดไม้ มองเพียงว่าพากันปลูกเพื่อลดอุณหภูมิโลก ช่วยลดโลกร้อน ช่วยกันคนละไม้ละมือ ปลูกทั้งที่บ้าน ที่สวน ทั้งไม้ป่า ไม้ป่าหายาก และไม้กินผล เช่น ลำไย มะม่วง มะขาม ทำอุโมงค์ต้นไม้ด้วยนนทรี ไม้ประดับอย่างชวนชม, แตรนางฟ้า (แตรสวรรค์ หรือลำโพง หรือมะเขือบ้า) ก็ได้ หรือปลูกผักไชยาไว้ลวกกินกับทำร่มเงาก็ยังได้ เอาบ้านละ 3-5 ต้นพอ เริ่มจากบ้านของเราเองก่อน บ้านเรือนหลังใดแม้จะไม่มีที่ดินกว้างให้ปลูกต้นไม้ได้ แต่ก็ปลูกต้นไม้ลงในกระถางได้ “รักโลก โลกก็จะรักเรา” เชื่อว่าทุกคนจะมีแรงบันดาลใจ เริ่มปลูกที่สวนหรือที่ที่ทำกินอยู่ก่อน ปลูกเพื่อตัวเราเองก่อน ต้องช่วยกันปลูกเพิ่มเรื่อยๆ เพราะที่ใดมีร่มเงาไม้ที่นั่นย่อมมีอากาศบริสุทธิ์ เย็นสบาย ช่วยลดความร้อนในตัวบ้านได้ หลายปีผ่านไปเมื่อไม้ยืนต้นเริ่มทยอยโตก็จะได้ชื่นชมชื่นใจผลผลิต เพราะต้นไม้คือสิ่งมีชีวิตเดียวที่ไม่ทำร้ายโลก เกิดมาเพื่อทำให้โลกน่าอยู่ ลดมลพิษ สร้างออกซิเจน เกิดความร่มรื่น เขียวชอุ่ม อากาศดี ร่มเย็นอุดมสมบูรณ์ การปลูกต้นไม้จะเป็นมงคลสูงได้อานิสงส์มาก เพราะต้นไม้ให้ประโยชน์เกื้อหนุนทุกสรรพสิ่งทุกชีวิต การปลูกป่านึกเสียว่าปลูกให้เทวดาแม่นางธรณีและสัตว์อื่นๆ ได้อาศัย แต่อย่าลืมว่าคนปลูกกับคนตัดมันคนละพวกกัน คนปลูกหน้าฝนนี้ หน้าร้อนครั้งหน้าก็มีคนตัด เป็นแบบนี้ตลอด อีกอย่างลองคิดดูเมื่อคนปลูกมีหลักพัน แต่ความต้องการใช้มีหลักล้าน ปลูกให้ตายก็ปลูกไม่ทัน คนถางขยายพื้นที่ทำกินทุกปี ปลูกให้ตายก็ช่วยไม่ได้ รัฐต้องหาทางตัดลดวงจรนี้ให้ได้ มิใช่ว่า “คนจนปลูกคนรวยตัด” ไม่เป็นคนรวยที่สร้างโรงงาน สร้างมลพิษสนองตัณหาตนเองตามลัทธิ “บริโภคนิยม” ก็ต้องมี “บรรษัทภิบาล” (Corporate Governance) ด้วย หากไม่ช่วยกันมนุษย์ก็เตรียมรับชะตากรรมอันเกิดจาก “วิกฤตภูมิอากาศ” หรือ “โลกรวน” ที่จะตามมา เช่น ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ถึงตกก็ตกน้อย ปลูกป่าให้เอาอย่างดาบวิชัยศรีสะเกษเป็นไอดอล

นอกจากการปลูกต้นไม้แล้ว ต้องมีการอนุรักษ์และไม่เผาด้วย ทำให้ครบวงจร สมัยโครงการอีสานเขียว ก็ยังรณรงค์กันปลูกต้นไม้กันคนละต้นได้ การจัดเก็บภาษีที่ดินว่างเปล่า ทำให้คนถางที่ป่าออกเพื่อปลูกต้นไม้ทำการเกษตรใหม่ เช่น ปลูกกล้วย ก็อาจจะมีการตัดต้นไม้ใหญ่ออก จะมีการเผาเศษไม้ วัชพืช หญ้าอีกก็ต้องดูด้วย หน่วยงานภาครัฐต้องช่วยรณรงค์ปลูกต้นไม้ในสำนักงานที่มีพื้นที่ว่าง โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อบจ. อบต.เทศบาล รวมทั้งการปลูกต้นไม้ในเขตทางด้วย เพราะไม้ข้างทางมักจะถูกตัดออกไป แล้วไม่มีการปลูกทดแทน แม้ในอนาคตจะต้องตัดต้นไม้เพื่อขยายความเจริญก็ไม่เป็นไร ขอให้ปลูกไปก่อน มาตรการทางภาษีก็สำคัญ ฝากเป็นแนวคิดให้รัฐในส่วนที่สนับสนุน เพราะมีคาร์บอนเครดิตแล้ว เช่น ที่ดินว่างเปล่าหากมีต้นไม้ใหญ่​คิดเป็น % ของพื้นที่ควรส่งเสริมด้านลดภาษี เพราะโลกยังต้องการต้นไม้ใหญ่ เก็บไม้ใหญ่ไว้พอได้มีร่มเงา ใบร่วงยังทำเป็นปุ๋ยได้อีก หรือหากเป็นพืชไร่ที่เจ้าของพื้นที่มีรายได้จากพืชไร่ที่ไม่ใช่ไม้ใหญ่ควรเสียภาษีแบบใด ยิ่งพืชไร่ที่ที่มีกระบวนการก่อให้เกิดมลภาวะโลกร้อนควรเก็บภาษีชดเชยอย่างไร เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่ทำได้ แม้น้ำมันแพงแค่ไหนยังต้องทนซื้อใช้ เพราะภาระภาษีมักตกอยู่กับผู้บริโภคเป็นคนสุดท้ายเสมอ

การไม้เพาะต้นไม้รอขยาย หรือจำหน่ายก็ทำไป ไม้อะไรก็ได้ มะเดื่อก็ยังได้ อีกอย่างในมาตรการทางด้านกฎหมาย เพิ่มพื้นที่สีเขียวควรมีกฎหมายว่าหมู่บ้าน (ชุมชนจัดสรร) สร้างใหม่มีพื้นที่กี่ไร่ต้องมีพื้นที่สีเขียวอย่างน้อยร้อยละ 50-60 ของพื้นที่ทั้งหมด เพราะหมู่บ้านเกิดใหม่จะตัดต้นไม้ทิ้งหมด ไม่ใช่จะมีแต่บ้านแต่ไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้เลย ควรปลูกรอบบ้านด้วย โดยเฉพาะการรักษาความเป็นป่า ในพื้นที่เคยถูกตัดโค่นให้ฟื้นคืนชีพ

มาดูป่าภาคเหนือตอนบน แต่ก่อนดูจะสมบูรณ์มาก ดอยช้างที่เชียงราย มีแต่ดินและรีสอร์ทผุดขึ้นมากมาย ผืนป่าถูกทำลาย อย่างนี้ป่าความชุ่มชื้นก็จะหายไป ในวัฏจักรการเกษตร เมื่ออย่างหนึ่งเพิ่ม อีกอย่างก็จะลด เช่น การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาก (มีการทำลายป่าและเผาป่ามาก) ก็จะไปเพิ่มการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไก่เลี้ยงหมูที่มากขึ้น เป็นนัยยะว่าลดทานบุฟเฟต์หมูกระทะก็เหมือนจะช่วยลดโลกร้อนได้ ก็ต้องทำใจ เข้าใจโลกในสองมุมมองสองมิติ

ไทยกับมาตรการควบคุมคาร์บอนเครดิต (Carbon credit)

ต้นไม้หาย มันเป็นภัยระดับโลก (Global) ประเทศที่เป็นต้นเหตุนี้อันดับต้นๆ อยู่ทางตะวันตก อเมริกา ยุโรป หรือประเทศอุตสาหกรรมที่เจริญแล้ว ประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น โดยจะสังเกตว่า นโยบายการลดโลกร้อน ที่กำหนดมาตรการควบคุมคาร์บอนเครดิต กฎหมายยังไม่บังคับใช้กับประเทศไทย (ไทยยังคงใช้ระบบสมัครใจ) แต่จะเริ่มใช้บังคับราว 6 ปีข้างหน้า ตอนนี้จึงทำอะไรไม่ได้มาก แต่ก็ต้องเตรียมการ เพราะตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 สหภาพยุโรปเริ่มใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) นับเป็นครั้งแรกที่จะมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสีเขียวเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ในผู้นำเข้าสินค้าเป้าหมาย 6 กลุ่ม ได้แก่ ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และไฮโดรเจน จะต้องรายงานปริมาณการนำเข้า รวมถึงปริมาณการปล่อยคาร์บอนทางตรงและทางอ้อม (Embedded Emission) ของสินค้า และ CBAM จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2569 (ปี 2026) ซึ่งผู้นำเข้าจะต้องซื้อ CBAM Certificate ตามปริมาณการนำเข้าและปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้า ตามแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย เริ่มจากภายในปี ค.ศ.2030 (พ.ศ.2573) หรืออีก 6 ปีข้างหน้า จะเพิ่ม “การผลิตรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์” เป็นร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด เพื่อมุ่งสู่ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon neutrality) ภายในปี ค.ศ.2050 หรืออีก 26 ปีข้างหน้า และเป้าหมาย “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” (Net Zero GHG emission) ภายในปี ค.ศ.2065 หรืออีก 41 ปีข้างหน้า

แต่ผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาลประยุทธ์พบว่า นโยบายแก้โลกร้อนของไทยถูกประเมินในระดับแย่ที่สุด ในขณะที่ปล่อยก๊าซอันดับที่ 19 มีความเสี่ยงด้านภูมิอากาศอันดับ 9 ของโลก ดูประหนึ่งว่ารัฐไม่ใส่ใจเท่าใด เพราะการดำเนินการที่แลกกับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจรัฐคงไม่ทำ ภัยที่ตะวันตกเจอจะเป็นภัยหนาว ส่วนบ้านเราเป็นตรงกันข้ามเป็นภัยร้อน แถมแต่ปีที่แล้วมีเอลนีโญเข้ามาเพิ่มดีกรีความร้อนเข้าไปอีก ไทยเป็นประเทศเล็กจึงทำอะไรได้ไม่มาก เอาแค่เรื่องลดการเผาต้นเหตุ PM2.5 ประเทศเพื่อนบ้านเราก็ยังเผาอยู่เลย ในทางระหว่างประเทศไทยยังทำอะไรไม่ได้

ถ้าพวกเราทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ ไม่ต้องไปสนใจภาครัฐ สองมือสองขาของทุกคนช่วยกันปลูก ชวนกันปลูกให้เยอะๆ ไม่ต้องบ่น ไม่ช่วยกันโลกจะดีได้อย่างไร ต่อไปจะไม่ร้อน ไม่แล้งอย่างเดียว อาหารก็จะไม่ขาดแคลน หากอากาศร้อนพืชจะไม่เจริญเติบโต แถมน้ำแล้งมากก็ระดมขุดบาดาลสูบน้ำมาใช้เยอะเกิดดินทรุดตัวลง เด็กๆ ภายหน้าก็ลำบากแน่นอน คนรวยร้อนก็เปิดแอร์ถือเป็นการสร้างภาวะโลกร้อนที่ไม่ใส่ใจสังคม คุณไม่รู้สึกสงสารโลกเลยหรือ อากาศร้อนมากขึ้นทุกวัน พื้นที่รอบบ้านตัดต้นไม้กันเยอะโล่งเตียนไปหมด โลกต้องตระหนักเร่งร่วมมือกันทั่วโลก นี่คือหายนะเกิดภาวะโลกร้อนที่จะตามมาแน่นอน