เจ้าของสวนทุเรียนน้ำแร่ดินภูเขาไฟ ที่ ต.ดงอีจาน อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ปรับแผนสู้วิกฤติภัยแล้งและอากาศที่ร้อนจัด โดยการจัดทำระบบน้ำสปริงเกอร์ ฉีดพ่นละอองน้ำ ทั้งบนพื้นดินและที่ต้นทุเรียนวันละ 2 เวลา เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับทุเรียน ซึ่งสามารถป้องกันปัญหาลูกทุเรียนแตก และร่วงหล่นเสียหายได้เป็นอย่างดี คาดปีนี้จะได้ผลผลิต ไม่น้อยกว่า 5 ตัน จะโกยเงินไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท มากกว่าทุกปีที่ผ่านมา 

          เมื่อวันที่ 7 พ.ค.67 ที่สวนยายเฑียร ทุเรียนน้ำแร่บุรีรัมย์ บ้านดอนสมบูรณ์ หมู่ 1 ต.ดงอีจาน อ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ของนางสาวเฑียร ที่รัก เกษตรกรเจ้าของสวนทุเรียนวัย 57 ปี ซึ่งได้เปิดเป็นสวนท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ได้มีการปลูกพืชหมุนเวียนหลายชนิดอยู่ในพื้นที่เดียวกัน มีทั้งทุเรียน ลำไย มะละกอ และพืชผักนานาชนิด บนเนื้อที่ 6 ไร่ ซึ่งต้นทุเรียนได้มีการปลูกมาตั้งแต่ปี 2561 รวมกว่า 135 ต้น ได้ให้ผลผลิตมาแล้ว 2 ปี และกำลังให้ผลผลิตติดต่อกันเป็นปีที่ 3 นี้

         แต่ด้วยสถานการณ์ภัยแล้ง กับสภาวะอากาศร้อนที่เกิดขึ้น เกษตรกรเจ้าของสวนยายเฑียร ทุเรียนน้ำแร่บุรีรัมย์ ได้มีการปรับแผนรับมือสู้กับวิกฤติภัยแล้ง และสภาพอากาศที่ร้อนจัดอยู่ในขณะนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบ และสร้างความเดือดร้อน ที่จะสร้างความเสียหายให้กับสวนทุเรียนของตนเอง เหมือนกับความเดือดร้อน ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ กับเกษตรกรชาวสวนทุเรียนรายอื่นๆ จนทำให้ลูกทุเรียนที่กำลังใกล้จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แตกและร่วงหล่นเสียหาย แต่ที่สวนยายเฑียร ทุเรียนน้ำแร่บุรีรัมย์ ต้นทุเรียนกลับมีความอุดมสมบูรณ์ดี ใบเขียวเข้มไม่เหี่ยวเฉา และมีลูกดกมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาด้วย

         นางสาวเฑียร ที่รัก เจ้าของสวนยายเฑียร ทุเรียนน้ำแร่บุรีรัมย์ กล่าวว่า ได้มีการติดตามข่าวสาร และการเตือนภัยอยู่เป็นประจำ และปีนี้คาดว่าในหลายพื้นที่น่าจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และอากาศที่ร้อนสูงขึ้นมากกว่าทุกปี จึงได้มีการเตรียมพร้อมรับมือป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้น้ำต้นทุเรียน ซึ่งเริ่มตั้งแต่พบว่ามีอากาศร้อนจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดซื้อท่อน้ำและสายยาง เพื่อมาทำระบบฉีดพ่นละอองน้ำ หรือที่เรียกว่าระบบสเปรย์น้ำ เพื่อให้น้ำต้นทุเรียนในช่วงเช้า ตั้งแต่เวลา 04.00-08.00 น. จะเป็นการฉีดรดน้ำที่พื้นดินบริเวณโคนต้นทุเรียนด้วยหัวสปริงเกอร์ จากนั้นในช่วงเวลากลางวันมาถึงบ่าย ซึ่งถือเป็นช่วงที่แดดจัด ก็จะทำการให้น้ำโดยการฉีดพ่นละอองน้ำที่บริเวณบนต้น หรือสเปรย์น้ำบนอากาศกับที่โคนต้น ตั้งแต่เวลา 11.00-15.00 น. 

       เพื่อทำให้ทั้งต้นทุเรียนมีความชุ่มชื้น และป้องกันไม่ให้ใบทุเรียนถูกแดดเผาไหม้ หรือไม่ให้ใบทุเรียนหลับ เพราะถ้าใบทุเรียนหลับ ก็จะไม่สามารถสังเคราะห์แสง หรือหาอาหารมาเลี้ยงต้นกับลูกทุเรียนได้ ก็จะส่งผลให้ลูกทุเรียนแตกและร่วงหล่น รวมถึงต้นทุเรียนก็จะเหี่ยวเฉาตายลงได้ ซึ่งสามารถป้องกันปัญหา ที่ชาวสวนทุเรียนในหลายสวน กำลังประสบปัญหาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถทำให้ทุเรียนมีผลดก ใบไม่ไหม้ และยังแทงยอดอ่อนอออกมาเพิ่มขึ้นอีกด้วย ส่วนแหล่งน้ำโชคดีอย่างที่สวนทุเรียนแห่งนี้ ปลูกอยู่ในพื้นที่น้ำซับที่เป็นน้ำแร่ และอยู่ใกล้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีเนื้อที่ประมาณ 70 ไร่ ซึ่งเป็นน้ำซับจากใต้ดินที่ไม่เคยแล้ง เพราะจะมีน้ำซับใต้ดินออกมาตลอดเวลา 

เจ้าของสวนยายเฑียร ทุเรียนน้ำแร่บุรีรัมย์ กล่าวต่อว่า ถึงแม้จะเป็นการเพิ่มต้นทุนในการผลิต แต่ก็ต้องลงทุน เพื่อช่วยให้ต้นทุเรียนอยู่รอด และจะได้มีผลผลิตที่ได้คุณภาพ พร้อมกับการเก็บเกี่ยวในฤดูกาลเก็บเกี่ยวในห้วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ถามว่าคุ้มค่าหรือไม่กับการลงทุน มันก็คุ้มค่า ถ้ามีการเตรียมการป้องกันล่วงหน้าที่ดี และขอฝากไปถึงเพื่อนชาวสวนผู้ปลูกทุเรียนว่า ทุเรียนมันไม่เหมือนผลไม้ชนิดอื่น คือเมื่อขาดน้ำไม่พอไม่ถึง 3 วัน ต้นทุเรียนก็จะสามารถตายลงในทันทีได้เลยทั้งต้น ซึ่งในปีนี้หากเพื่อนชาวสวนทุเรียน ที่ประสบปัญหาลูกทุเรียนแตกร่วงหล่นแล้ว ซึ่งปีนี้อาจจะได้ผลผลิตน้อยหรือไม่ได้ผลผลิต ก็ขอให้ปรับวิธีการให้น้ำแบบสวนทุเรียนของตนเอง ถึงปีนี้จะเอาลูกทุเรียนไม่ได้ แต่ขอให้บำรุงดูแลรักษาต้นทุเรียนเอาไว้ เพื่อที่ต้นทุเรียนจะได้เจริญเติบโตสามารถยืนต้นให้ผลผลิตในปีหน้าได้ต่อไป

        เมื่อถามว่าทำไมทุเรียนบุรีรัมย์ถึงได้ชื่อว่า ทุเรียนน้ำแร่ดินภูเขาไฟ เจ้าของสวนยายเฑียร ทุเรียนน้ำแร่บุรีรัมย์ กล่าวว่า ด้วย จ.บุรีรัมย์ ถือเป็นถิ่นภูเขาไฟ โดยมีภูเขาไฟที่ดับสนิทลงแล้ว 6 ลูก อีกทั้งน้ำใต้ดินเฉพาะในพื้นที่ ต.ดงอีจาน อ.โนนสุวรรณ แห่งนี้เป็นแหล่งน้ำซับ ซึ่งได้มีการนำน้ำไปทำการตรวจวิเคราะห์มาแล้ว ว่าเป็นน้ำซับใต้ดินแห่งนี้ เป็นน้ำแร่อย่างดี และก็ได้มีการนำน้ำแร่นี้มารดสวนทุเรียน จึงส่งผลให้คุณภาพของเนื้อทุเรียน นั้นมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เด่นไม่เหมือนทุเรียนที่อื่น เมื่อรับประทานลูกทุเรียนที่แก่จัดและสุกเต็มที่ ก็จะพบว่าเนื้อทุเรียนจะเป็นครีมเนียนนุ่ม เหมือนเนื้อคัสตาร์ด มีรสชาติที่กำลังหวานพอดี มีกลิ่นฉุนน้อย จึงทำให้เป็นกลิ่นที่หอมละมุน 

       

 เจ้าของสวนยายเฑียร ทุเรียนน้ำแร่บุรีรัมย์ กล่าวอีกว่า ผลผลิตของปีนี้คาดว่าจะได้มากกว่าปีที่ผ่านมา โดยปีการผลิตที่ผ่านมาได้ผลผลิตลุกทุเรียนประมาณ 2 ตัน ขายได้ประมาณ 4 แสนบาท ส่วนปีนี้ที่ใกล้จะถึงช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม คาดว่าน่าจะได้ผลผลิตลูกทุเรียนไม่น้อยกว่า 5 ตัน และจะทำให้มีรายได้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท หากไม่เกิดวาตภัยพัดผ่านเข้ามาจนทำให้ลูกทุเรียนร่วงหล่นหรือต้นทุเรียนโค่นล้มลงมา 

 

       ทั้งนี้ สำหรับ จ.บุรีรัมย์ มีพื้นที่ปลูกทุเรียนมากที่สุด 4 อำเภอ คือ อ.โนนสุวรรณ อ.ปะคำ อ.ละหานทราย และ อ.บ้านกรวด โดยที่ อ.โนนสุวรรณ มีจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน 300 ราย มีพื้นที่ปลูก 2,002 ไร่ ถือเป็นแหล่งผลิตทุเรียนคุณภาพสูง เนื่องจากเป็นพื้นที่มีที่มีภูมิประเทศ ที่มีอัตลักษณ์ด้านธรณีวิทยา และการใช้น้ำแร่ธรรมชาติที่มาจากน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาไฟเดิมในการรดหล่อเลี้ยงต้นทุเรียน จึงทำให้ทุเรียนของ อ.โนนสุวรรณ เป็นทุเรียนน้ำแร่ดินภูเขาไฟ และได้รับอนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือทุเรียน GI ในนามทุเรียนน้ำแร่บุรีรัมย์ อีกทั้งด้วยคุณภาพ และอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของทุเรียนน้ำแร่ดินภูเขาไฟ คือ มีเนื้อทุเรียน จะกรอบนอก นุ่มใน ละมุนลิ้น กลิ่นไม่ฉุน เนื้อเนียนนุ่มดุจคัสตาร์ด จึงทำให้ทุเรียนของโนนสุวรรณ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ทุเรียนน้ำแร่ดินภูเขาไฟ เป็นที่ต้องการของตลาด จนต้องสั่งจองกันข้ามปีเลยทีเดียว