การเมืองไทยในช่วงกลางปี 2568 กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อกระแสข่าวเรื่อง การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งใหญ่ กลายเป็นหัวข้อหลักในทุกเวทีทางการเมือง ทั้งในสภาและนอกสภา โดยเฉพาะการชิงเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) ระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ที่กลายเป็นศึกศักดิ์ศรีและอำนาจทางการเมืองโดยตรง
เพื่อไทยเดินเกมรุก: เอาคืนกระทรวงยุทธศาสตร์
พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และมีนายกรัฐมนตรีคือ แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กำลังเดินหน้าวางแผน “จัดระเบียบ ครม. ใหม่” โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ “การทวงคืนกระทรวงมหาดไทย” ที่ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.)
กระแสภายในพรรคเพื่อไทยชัดเจนว่า ต้องการรีเซตอำนาจใน ครม. เพื่อ “จัดสมดุลผลประโยชน์ใหม่” โดยแกนนำพรรคบางส่วนถึงกับแสดงท่าทีแข็งกร้าว ระบุว่า หากพรรคร่วมไม่พอใจ สามารถถอนตัวไปเป็นฝ่ายค้านได้เลย
แม้แพทองธารจะยังเล่นบทคลุมเครือ แต่แกนนำหลายรายยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีถืออำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจปรับ ครม. ซึ่งหมายความว่าศึกนี้อยู่ที่ “การตัดสินใจของแพทองธาร” โดยตรง
ภูมิใจไทยไม่ยอมถอย: กระทรวงมหาดไทยคือเส้นตาย
ในอีกฟากหนึ่ง พรรคภูมิใจไทย ยืนยันหนักแน่นว่า ไม่ยอมปล่อยกระทรวงมหาดไทยเด็ดขาด เพราะกระทรวงนี้เปรียบเสมือน ศูนย์กลางอำนาจในพื้นที่ระดับจังหวัดทั่วประเทศ ที่มีผลต่อการเมืองฐานรากและการเลือกตั้งครั้งถัดไปอย่างมีนัยสำคัญ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีมหาดไทยในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยแสดงท่าที“ขึงขัง” อย่างยิ่ง โดยมีรายงานว่าได้ถูกเรียกเข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีเป็นการส่วนตัว เพื่อพูดคุยเรื่องการปรับ ครม. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างสองพรรคใหญ่ในรัฐบาลได้ปะทุหนัก
ที่สำคัญกว่านั้นคือ มีข่าวลือว่า หากนายอนุทินต้องพ้นจากตำแหน่ง มท.1 ภูมิใจไทยพร้อมที่จะถอนตัวจากรัฐบาลทันที ซึ่งอาจหมายถึง “สภาล่ม-รัฐบาลล้ม”
รวมไทยสร้างชาติ: รอยร้าวในพรรคเล็กที่ไม่เล็ก
อีกหนึ่งพรรคที่สร้างแรงกระเพื่อมหนักคือ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งมี ส.ส.จำนวนหนึ่งได้ร่วมลงนามในจดหมายเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ปลดรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรคตนเองออกทั้งหมด ด้วยข้ออ้างเรื่องประสิทธิภาพและคุณสมบัติ
ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว 2 รัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติไม่ว่าจะเป็นนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีอุตสาหกรรม ต่างได้รับการยอมรับจากผลสำรวจของโพลสำนักต่างๆ ว่ามีผลงานโดดเด่นเมื่อเทียบกับรัฐมนตรีกระทรวงอื่นๆ
มีการตั้งข้อสังเกตว่าในส่วนของนายพีระพันธุ์ที่ตกเป็นเป้าถูกโจมตีมาตลอดในระยะหลัง น่าเป็นเพราะนายพีระพันธุ์กำลังเดินหน้าผลักดันกฎหมาย 3 ฉบับ ที่กระทบต่อผลประโยชน์ของนายทุนพลังงาน
โดยกฎหมาย 3 ฉบับดังกล่าวประกอบด้วย 1.กฎหมายกำกับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อความเป็นธรรมด้านพลังงาน และทำให้ประชาชนได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในราคาถูก 2.กฎหมายการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อผลประโยชน์ชาติและความมั่นคงทางน้ำมันของประเทศ และ3.กฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนให้ประชาชนสามารถใช้พลังงานสะอาด ติดตั้งโซล่ารูฟท็อปได้ง่ายสะดวกรวดเร็วในราคาประหยัดเพื่อลดค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือน
พลังประชารัฐ: เงียบแต่น่าจับตา
แม้ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะยังไม่ออกอาการใดเกี่ยวกับการปรับ ครม. แต่สถานะของพรรคในปัจจุบันอยู่ในจุดที่ไร้เอกภาพ และมีความเสี่ยงสูงที่พรรคจะ “แตกตัว” หรือ “แยกย้าย” ไปยังกลุ่มการเมืองอื่น
ถึงจะไม่มีรายงานชัดเจนว่า พปชร. จะมีโอกาสได้ตำแหน่งรัฐมนตรีใดหรือไม่ในการปรับ ครม. นี้ แต่ก็มีข่าวลือว่าพรรคนี้อาจกลายเป็น “พรรคเทียบเชิญ” ที่สามารถเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในสภาได้หากเลือกข้าง
พรรคกล้าธรรม: ลูกคืนเก้าอี้แทนพ่อ
พรรคกล้าธรรมที่อาจดูเล็ก แต่ก็สะท้อน “การคำนวณทางการเมือง” อย่างมีชั้นเชิง โดยมีรายงานว่า พรรคต้องการเสนอชื่อ นายศุภชัย ศิริลัทธยากร กลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แทน นายอิทธิ ศิริลัทธยากร ผู้เป็นบิดา
กรณีนี้อาจดูเป็นเพียงการส่งไม้ต่อในครอบครัว แต่ในเชิงการเมืองคือ “การทวงคืนพื้นที่อำนาจ” และทำให้พรรคกล้าธรรมกลายเป็น ผู้เล่นที่ต่อรองได้
แนวโน้มทิศทางการเมืองจากการปรับครม.
จากภาพรวมทั้งหมด การปรับ ครม. ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การขยับตัวบุคคล แต่คือ “การรีเซตอำนาจ” ระหว่างพรรคแกนนำ และพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 ประเด็นสำคัญ:
1.เพื่อไทยต้องการรวมศูนย์อำนาจ โดยเฉพาะกับกระทรวงมหาดไทย ที่จะใช้วางฐานเลือกตั้งระดับจังหวัดทั่วประเทศ
2.ภูมิใจไทยเล่นบทเสี่ยง พร้อมเป็นฝ่ายค้าน หากเสียเก้าอี้หลัก
3.พรรคร่วมอย่าง รทสช. แสดงความไม่พอใจ อาจกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย หากรัฐบาลไม่สามารถจัดสมดุลใหม่ได้
รัฐบาลรอดหรือสั่นคลอน?
ศึกปรับ ครม. ครั้งนี้จึงเป็นเสมือน “เกมวัดใจ” ระหว่างพรรคเพื่อไทยที่ต้องการขยายอำนาจ กับพรรคร่วมที่ไม่ต้องการเสียพื้นที่ผลประโยชน์ของตนเอง
หากนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร สามารถเจรจาให้ทุกฝ่ายพอใจได้ ก็อาจทำให้รัฐบาลเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง แต่หากเกิดความขัดแย้งบานปลาย โดยเฉพาะการถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยหรือ รทสช. ก็มีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะ “เสียสมดุล” และนำไปสู่ การยุบสภา – เลือกตั้งใหม่ ในอนาคตอันใกล้
#ปรับครม2568 #ศึกมหาดไทย #เพื่อไทยVSภูมิใจไทย #รัฐบาลแพทองธาร #การเมืองไทย #รวมไทยสร้างชาติแตกคอ #วิเคราะห์การเมือง