วันที่ 15 ธ.ค.66 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุว่า...

วานนี้ 13 ธค 66 ศาลอาญาตัดสินจำคุกคุณไอซ์ รักชนก ศรีนอก 6 ปี คดีความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ นั่นคือนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์

แรกทีเดียวเข้าใจว่า คุณรักชนก โดนข้อหาหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์จากโพสต์ต่างๆในอดีต ซึ่งเป็นโพสต์ที่ย่ำยีองค์พระมหากษัตริย์ทั้ง 2 พระองค์อย่างชนิดที่อย่าว่าแต่ผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหาษัตริย์​ แม้คนทั่วไปที่มีใจเป็นกลางและเป็นธรรมก็รับไม่ได้ พูดก็พูดเถิด ไม่ว่าใครมาโพสต์ข้อความแบบนี้ต่อบุพการีของเราก็รับไม่ได้เช่นกัน

เมื่อเห็นข่าวศาลตัดสินจำคุกคุณ รักชนก กลับไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ เพราะเป็นความผิดจากการโพสต์ข้อความใน Twitter กล่าวหารัฐบาลว่า พยายามผูดขาดการผลิตวัคซีนโควิด 19 และว่าเกี่ยวเนื่องกับองค์พระมหากษัตริย์ และว่า เป็นการเล่นเกมการเมืองบนวิกกฤตชีวิตประชาชน โดยมีในโพสต์มีพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ประกอบป้ายข้อความว่า “ทรราช” ทั้งยัง โพสต์ซ้ำข้อความของผู้อื่นที่ไม่อาจนำมาเขียนในที่นี้ได้ เพราะเป็นข้อความที่รุนแรงมาก

บรรดาส.ส.ก้าวไกลที่ออกมาปกป้องโจมตีมาตรา 112 ด้วยตรรกะเดิมๆ คือ เป็นการออกความเห็นทางการเมืองเท่านั้น และเป็นการขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ไม่สมควรต้องถูกลงโทษเช่นนี้ ทุกท่านโปรดทราบด้วยว่า ข้อความที่คุณรักชนกโพสต์ ไม่ใช่ความจริง ทำให้ผู้อื่นเสียหาย และถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนไม่ดี และผู้อื่นนั้นก็คือองค์พระมหากษัตริย์ ที่เราควรถวายความเคารพสักการะ นั่นเป็นเพียงการแสดงความเห็นธรรมดาหรือ ถ้าเช่นนั้นทำไมพวกคุณยังไปฟ้องหมิ่นประมาทผู้อื่นที่ “เพียงแต่ออกความเห็น” เกี่ยวกับคุณเล่า

หากมองย้อนกลับไป ข้อมูลที่คุณรักชนกได้มาและนำมาโพสต์จนทำให้ถูกดำเนินคดี ผู้ที่นำข้อมูลชุดนี้มานำเสนอไม่ใช่ใครอื่น แต่คือคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นั่นเอง

เราลองย้อนกลับไปเมื่อวันที่ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ออก face book live หัวข้อ

“วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย“

เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีวัคซีน

ประเทศไทยได้มีการฉีดวัคซีนเข็มแรก เป็นวัคซีนยี่ห้อ sinovac เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แต่รัฐบาลไทยได้ลงนามในข้อตกลงกับบริษัท Astra Zeneca เพื่อจัดซื้อวัคซีนเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 ในขณะเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็ได้พระราขทานความร่วมมือโดยให้บริษัท Siam Bioscience ซึ่งเป็นบริษัทในพระปรมาภิไธย รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัท Astra Zeneca และจะเป็นบริษัทรับผลิตวัคซีน ให้กับบริษัท Astra Zeneca ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย และในขณะนั้นคาดว่าจะพร้อมส่งมอบได้ในเดือนมิถุนายน 2564

คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้บรรยายในวันนั้นสรุปความสั้นๆ ซึ่งไม่อาจเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ว่า

“รัฐบาลตัดสินใจ ที่จะซื้อวัคซีนจากบริษัทเดียวคือ Astra Zeneca และมอบให้บริษัท Siam Bioscience เป็นผู้รับจ้างผลิตวัคซีนภายในประเทศ ทั้งยังให้เงินสนับสนุนแก่บริษัท Siam Bioscienceโดยไม่เปิดโอกาสให้มีบริษัทอื่นๆเข้าทำการแข่งขันแต่อย่างใด ซึ่งบริษัท Siam Bioscience เป็นบริษัทที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นเจ้าของ เป็นบริษัทที่ตั้งมา 11 ปีแต่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จทางธุรกิจเลย ประสบการขาดทุนทุกปี

การทำเช่นนี้เป็นการแทงม้าตัวเดียว เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบริษัท Siam Bioscience หรือไม่ และทำให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนช้า และในจำนวนที่น้อยเกินไป ทำให้ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ที่ควรจะได้หรือไม่”

เห็นได้ชัดข้อมูลที่นำมาเสนอ และคำถามของคุณธนาธร สะท้อนความมีอคติของคุณธนาธรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่น่าจะปฏิเสธได้ เพราะข้อมูลจริงคือ

บริษัท Siam Bioscience จัดตั้งขึ้นจากพระราชปณิธาณของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อ 11 ปีที่แล้ว โดยมีพันธกิจคือ

“ให้คนไทยได้รับยาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงในราคาที่ถูกลง สร้างความมั่นคงทางยา เพื่อดูแลรักษาสุขภาพของคนไทย”

บริษัท Siam Bioscience ดำเนินการวิจัยพัฒนา ผลิตยาและเครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ โดยมีการวิจัย พัฒนา ผลิตครบวงจร ตั้งแต่ตัวยาสำคัญ สารออกฤทธิ์ จนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ผลิตยาชีววัตถุ หรือ ไบโอฟาร์มา ซึ่งเป็นยาที่ต้องผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง

จะแห็นว่าบริษัท Siam Bioscience ไม่ได้ต้องการกำไร แต่ต้องการสร้างความมั่นคงทางยาของประเทศ เพื่อดูแลรักษาคุณภาพคนไทย การสร้างรายได้ก็เพียงให้เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้เท่านั้น

เมื่อทราบว่า บริษัท Siam Bioscience ก่อตั้งขึ้นเพื่ออะไรแล้ว ไม่ควรมีคำถามด้วยซ้ำว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนเพียงรายเดียวหรือไม่

นอกจากนี้บริษัท Siam Bioscience ยังมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเหนือล้ำกว่าบริษัทผู้ผลิตยาอื่นๆ และด้วยพระบารมี จึงเต็มไปด้วยพนักงานที่มีความรู้ความสามารถสูง ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท Astra Zeneca ให้เป็นผู้ผลิตวัคซีนเพื่อส่งให้ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่ทั้งภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียว

บทบาทของรัฐบาลไทยจึงไม่เกี่ยวกับการคัดเลือกบริษัทเพื่อเป็นผู้ผลิตวัคซีน แต่รัฐบาลมีหน้าในการจัดหาวัคซีน ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะ astra zeneca ซึ่งจะเห็นว่าในระยะแรก จึงมีแต่ sinovac เนื่องจากจัดหาได้เร็วกว่า ต่อมาจึงมี astra zeneca และต่อมาจึงได้ วัคซีน mRaNA ได้แก่ pfizer และ moderna ที่คุณธนาธรเชียร์ ข้อมูลของคุณธนาธรทำให้ต่อมาเกิดม็อบ 3 นิ้ว เรียกร้องต่อรัฐบาลว่าต้องการวัคซีนของ pfizer เท่านั้น ภายหลังเมื่อปรากฏชัดว่า วัคซีนประเภท mRNA มีข้อกังขาในเรื่องความปลอดภัยมากกว่าวัคซีนประเภทอื่นๆ ม็อบต่างๆก็พากันเงียบสนิท

จะว่าไปคุณไอซ์ รักชนก ก็เป็นเพียงเหยื่อของขบวนการนี้ ได้รับข้อมูลที่จริงบ้างไม่จริงบ้าง ครั้งแล้วครั้งเล่า เชื่ออย่างสนิทใจ จนเกิดความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงทำการเคลื่อนไหวต่อต้านด้วยวิธีต่างๆ ไม่ใช่มีเพียงคุณรักชนกคนเดียว แต่มีเป็นแสนเป็นล้านที่ได้รับการหล่อหลอมบ่มเพาะแบบนี้มาเป็นเวลาเป็น 10 ปี แต่ละคนก็มีพฤติกรรมแตกต่างกันไป บางคนก็ active อย่างคุณรักชนก บางคนก็ไม่ พวกที่ active ก็ไปเป็นแกนนำม็อบ 3 นิ้ว และเข้าร่วมชุมนุม หรือคอยโจมตีอยู่ใน social media ซึ่งเป็นการขยายผลให้ขบวนการนี้ตลอดเวลา

หากขบวนการนี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ คงไม่เร็วนัก แต่วันหนึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะดำรงอยู่ไม่ได้ ขบวนการนี้จึงมีความน่ากลัวมาก เราจะช่วยลดความน่ากลัวของขบวนการนี้ลงได้ด้วยการพยายามค้นหาข้อมูลที่ถูกต้องและส่งต่อให้สมาชิกในครอบครัวเราเท่าที่ทำได้ หากทุกคนทำได้เช่นนี้ ขบวนการนี้ก็จะอ่อนกำลังลงไปเอง

ช่วยกันนะครับ