วันที่ 11 ม.ค.2567 เวลา 11.08 น.ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร  ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มาทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในการประชุม โดยที่ประชุมได้พิจารณากะทู้สดด้วยวาจา ของนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ถามนายกฯ เรื่องกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญ และการสร้างความชอบธรรมเพื่อฟื้นฟูระบบนิติรัฐให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น แต่นายกฯได้มอบหมายให้นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เป็นผู้ชี้แจงแทน

โดยนายชัยธวัช ถามว่าทราบว่าคำถามที่จะนำมาให้ประชาชน ทำประชามติ จะเขียนล็อคไว้เลยว่าจะไม่แก้รัฐธรรมนูญในหมวด1 บททั่วไป และหมวด2 สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งการเขียนล็อคในลักษณะนี้จะเป็นการวางยาตัวเอง และมีปัญหาในเชิงเทคนิคต่อไป การเขียนล็อคที่เป็นการจงรักภักดีล้นเกิน หากมีพระราชประสงค์ปรับแก้ในหมวด2 รัฐบาลใหม่จะทำอย่างไร จึงอยากทราบว่ารัฐบาลจะทบทวนคำถามที่จะใช้ทำประชามติหรือไม่ นอกจากนี้ นายชัยธวัช ยังสอบถามถึงมาตฐานการคุมนักโทษของรัฐบาลชุดนี้ด้วย

ด้านนายภูมิธรรม ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาทุกพรรคการเมืองประกาศชัดเจนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่แตะหมวด1 และหมวด2 ยกเว้นพรรคก้าวไกล จึงอยากให้ดูความจริงด้วย พรรคเพื่อไทยก็หาเสียงไม่แตะทั้งสองหมวดดังกล่าว และประกาศเป็นนโยบายสมาชิกรัฐสภารับทราบและยอมรับ การไม่แตะเรื่องนี้จะทำให้หลีกหนีความขัดแย้งได้ เพราะเป็นความไม่สบายใจของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ขอพรรคก้าวไกลอย่าหมกมุ่นอยู่กับประเด็นนี้ และตนก็ไม่ทราบว่าทำไมต้องกังวลใจกับเรื่องนี้มากเกินไป ส่วนเรื่องการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.)นั้นเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ยังไม่จำเป็นต้องสร้างความสับสนในชั้นการทำประชามตินี้



นายภูมิธรรม ชี้แจงอีกว่า กรณีการคุมขังนักโทษนั้น รัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการคุมคามหรือทำให้เกิดความหวาดกลัว สิ่งสำคัญกว่านั้นมาจากประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ขณะที่กฎหมายดำเนินการอยู่ ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย อะไรที่เป็นกฎหมายอย่าท้าทายและทำผิด

นายภูมิธรรม ชี้แจงต่อว่า กรณีที่พูดถึงความเสมอภาคเท่าเทียม แล้วพูดถึงชั้น14 ตนเข้าใจและรู้สึกแบบเดิมเหมือนหมวด1 หมวด2 ท่านไม่ได้ทำความเข้าใจรายละเอียดกฎหมายที่ออกมาให้ชัดเจน ถ้าเข้าใจจะไม่รู้สึกแบบนี้ กฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อให้เกิดความเสมอภาคเท่าเทียม ไม่ได้เกิดในรัฐบาลนี้ แต่เกิดมาก่อน ยกความดีให้รัฐบาลที่แล้ว ที่เล็งเห็นว่าการนำผู้ต้องขังไว้ในเรือนจำ ล้นจริงๆ คุกล้น คนอยู่ข้างในลำบาก ดังนั้นจึงพยายามแก้ไขปัญหา เป็นไปตามหลักสากลให้บุคคลที่เจ็บป่วย หรือใกล้พ้นวาระ และปฏิบัติตัวดีไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกได้

“ผู้ที่อยู่ในเรือนจำถ้าแพทย์วินิจฉัยว่าป่วยก็ต้องดำเนินการตามกรอบของกฎหมาย เรื่องชั้น14 แพทย์ก็ยืนยันต้องถือเป็นที่สุด อย่าเอาเรื่องที่เป็นกระบวนการยุติธรรมปกติมาโยนใส่รัฐบาล แล้วทำให้เป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องความปรารถนาที่จะสร้างความไม่เสมอภาคกัน ใจเย็นๆ ทำใจกว้างๆ คิดให้ดี ถ้ายังจุกจิกกับเรื่องแบบนี้ปัญหาประเทศจะไปไม่ได้ ฉะนั้นต้องใจเที่ยงธรรม สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เป็นกฎหมายเพื่อคนส่วนใหญ่ ตามหลักสากล และไทยกำลังทำ ผู้ป่วย ป่วยตามที่หมอบันทึกและวินิจฉัย

ถ้าจะอภิปรายไม่ใช่อภิปรายรัฐบาล กระบวนการขณะนี้ท่านก็ไม่ได้อภิปรายอย่างถูกต้อง เพราะไม่ใช่กระบวนการพิเศษที่ทำเพื่อใคร ความเหลื่อมล้ำเป็นความตั้งใจที่รัฐบาลจะแก้ไข แต่ความเหลื่อมล้ำมีหลายอย่าง ทั้งโอกาสทางการศึกษา เศรษฐกิจ และการใช้ชีวิต ไม่ใช่วนเวียนอยู่ที่ชั้น14 ขอความกรุณาเปิดให้กว้างแล้วไปให้ไกลถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก” รองนายกฯ ระบุ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายชัยธวัชถามคำถามที่สอง เรื่องการคุมขังนักโทษนั้น ปรากฎว่าได้ใช้เวลาเกินที่กำหนดไว้ แต่ยังไม่ถึงหนึ่งนาที นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงขอให้รักษาเวลา ซึ่งนายวันมูหะมัดนอร์ วินิจฉัยอนุญาตให้นายชัยธวัช ใช้เวลาอภิปรายเกินได้อีก 1 นาที แต่ดูเหมือนคำวินิจฉัยไม่ได้ผล เพราะนายไชยวัฒนา ประท้วงซ้ำอีกครั้ง

จากนั้นนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประท้วงสวนกลับว่าคำวินิจฉัยของประธานถือเป็นที่สุด และยังกล่าวตอนท้ายว่า “ชั้น14แตะไม่ได้เลยหรือ เดี๋ยวผมจะเอาข้าวผัดกับโอเลี้ยงไปฝาก” ทำให้นายไชยวัฒนาโต้ว่า “นายวิโรจน์เละเทะ เดชะบุญของคนกทม.” ต่อมานายวันมูหะมัดนอร์พยายามไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกัน และตัดบทให้นายภูมิธรรมชี้แจงต่อไป

 

#ประชุมสภาฯ #ทักษิณ #เพื่อไทย #ก้าวไกล