มติ กกต. เอกฉันท์ส่งศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคก้าวไกล ปมแก้ ม.112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ด้านศาลอาญา ยกฟ้อง หมอวรงค์ คดี ธนาธร ฟ้องหมิ่นพาดพิงสนับสนุนล้มล้างการปกครอง ศาล ชี้จำเลยโพสต์แจ้งล่วงหน้า เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย-เจ้าตัวท้าดีเบตคดีหมิ่นเบื้องสูง ล้มล้างสถาบันทุกเวที
       
     เมื่อวันที่ 12 มี.ค.67 มีรายงานว่า ที่ประชุม กกต.ได้มีมติเอกฉันท์ เสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคจากกรณีก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้วใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  โดยก่อนที่ประชุมมีมติดังกล่าวได้มีการพิจารณาผลการศึกษา คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับที่
     

ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 ก.พ. ที่ผ่านมา และความเห็นที่สำนักงานกกต.เสนอ ว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลเข้าข่ายเป็นความผิดมาตรา92(1)พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
 

   วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.30 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดี คดีดำ อ.280/2564 ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.วรงค์ เดชวิกรมกิจ ประธานพรรคไทยภักดี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท กรณีที่ นพ.วรงค์ ดได้ไลฟ์สดทำนองว่า นายธนาธร สนับสนุนเกี่ยวกับปฏิรูปสถาบัน อันเป็นการล้มล้างการปกครอง จากการแถลงข่าวจะตั้งพรรคไทยภักดีเเละไลฟ์สดเฟซบุ๊ก เหตุเกิดระหว่างวันที่ 20 ม.ค.- 4 ก.พ.2564 โดยนพ.วรงค์ ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาและมีมวลชนและบุคคลใกล้ชิดจำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจ ส่วนนายธนาธรไม่ได้เดินทางมาศาลแต่ให้ผู้รับมอบอำนาจมาฟังแทน
   

 ต่อมาศาลอาญาได้พิพากษาว่า ข้อความที่จำเลยโพสต์เป็นการแจ้งล่วงหน้าให้ทราบว่าจำเลยจะไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับโจทก์ในความผิดหมิ่นเบื้องสูง มาตรา 112 ในภายหน้าอันเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายไม่ทำให้ผู้ที่ได้อ่านหรือประชาชน เข้าใจไปได้ว่า โจทก์กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ข้อความดังกล่าวจึงมิได้มีเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา พิพากษายกฟ้อง
 

   ด้าน นพ.วรงค์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเชื่อมั่นในข้อมูล และพยานหลักฐานต่างๆ เพราะทุกคำพูดตนเอามาจากสื่อทั้งสิ้น ไม่ใช่สร้างหรือมโนขึ้นมาเอง ตนก็ชี้ให้ศาลเห็นว่า การดำเนินคดีมาตรา 112 เกิดขึ้นจริง และตนเป็นพยานในการเบิกความด้วย
   

 การฟ้องร้องของนายธนาธร เรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันเปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งสิ้น และมีนัยยะทางการเมือง ฉะนั้นหากจะอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ต้องรับฟังพวกเรา อะไรที่ถูกหรือผิดก็ต้องไตร่ตรองไม่ใช่การฟ้องกลับ และคนที่มีความเห็นที่ขัดแย้ง กลับถูกเขาฟ้องร้องเยอะมาก และเมื่อมีการฟ้องจะต้องวางเงินต่อศาลไม่น้อยกว่า 200,000 บาท ไม่รวมค่าทนายความ ซึ่งเขาสูญเสียเงินเยอะมากในการฟ้องปิดปากประชาชน และถือว่าไม่ใช่ของจริง
   

 นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า วันนี้แม้จะเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น เขามีสิทธิ์ที่จะยื่นอุทธรณ์ แต่ตนจะต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงมีพยานหลักฐานไม่ใช่มีเพียงแค่พยานบุคคล ซึ่งตนถูกฝึกให้พูดความจริง เวลาโพสต์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียจะมีเอกสารอ้างอิงทั้งหมด ตนไม่เคยกลัวถูกฟ้องเพียงแต่เรื่องนี้ทำให้เสียเวลา จึงขอให้มาพูดคุยกันอย่างลูกผู้ชายไม่ว่าจะผ่านเวทีไหนก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112 หรือเรื่องล้มล้างสถาบัน เจอกันเมื่อไหร่ก็ได้ ตนเองพร้อมที่จะไปดีเบต โต้วาที ด้วยทุกเวที หรือช่องโทรทัศน์ช่องไหนก็ได้ นอกจากนี้แล้วอยากฝากว่า ช่วงใกล้จะมีการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีตัวแทนพรรคการเมืองปล่อยคลิปวิดีโอพยายามรณรงค์เชิญชวนไปสมัครสมาชิกวุฒิสภาและให้ไปเข้าแคมป์ มองว่าเป็นการสร้างเจตนารมณ์ก่อนจะให้ไปสมัครวุฒิสภา ซึ่งต้องย้ำว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ต้องการให้สมาชิกวุฒิสภาเป็นกลางทางการเมือง จึงไม่ควรมีพรรคการเมืองใดเข้าไปยุ่งหรือเชิญชวนเข้าแคมป์ดังกล่าว มองว่าเป็นการฝักใฝ่และจะทำให้เจตนารมย์ของสมาชิกวุฒิสภาและประเทศมีปัญหาแน่นอน เพราะวุฒิสภามีหน้าที่แต่งตั้งองค์กรอิสระที่สำคัญมาก เช่น กกต.,ป.ป.ช.,ผู้ตรวจการแผ่นดิน,ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน หรือ ศาลรัฐธรรมนูญ อนาคตจะทำให้องค์กรเหล่านี้ถูกแทรกแซงได้ง่ายขึ้น