"นายกฯ" เรียก "รมต.เพื่อไทย" เข้าทำเนียบฯ ติวเข้มเดินหน้าตามนโยบาย พร้อมทูลเกล้าฯ ชื่อ “มาริษ เสงี่ยมพงษ์” รมว.ต่างประเทศคนใหม่ “สุริยะ”ยันนายกฯยังไม่แบ่งงานดูแลกระทรวงไหน ด้าน"ธนาธร"ไม่สน ถูกรุมหาจุ้นสมัครเลือกตั้งสว. เดินหน้าปลุกปชช.ต่อ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 30 เม.ย.67 เวลา 09.10 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในช่วงเช้าเป็นไปอย่างคึกคัก  โดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าปฏิบัติงานตามปกติ จากนั้นเวลา 09.45 น. นายกฯ ได้เรียกรัฐมนตรีใหม่สัดส่วนของพรรคเพื่อไทยที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี เข้าพบบนตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อรับมอบนโยบายและแนวทางการทำงานของแต่ละกระทรวงให้สอดคล้องกับรัฐบาล โดย น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกฯ เดินทางเข้าพบนายกฯ เป็นคนแรก ตามด้วย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ,นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม รมว.,นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข และน.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว. วัฒนธรรม

ต่อมา เวลา 10.30 น. นายกฯ ได้เรียก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ เดินทางเข้าพบ โดยร.อ.ธรรมนัส เปิดเผยว่า เข้าพบนายกฯ  เรื่องปัญหาภัยแล้ง โดยนายกฯฝากให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูเรื่องการแก้ปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะเรื่องของการขุดลอกคูคลอง ดูภาพรวมทั้งหมดทั้งประเทศ ส่วนเรื่องของราคาสินค้าเกษตรตกต่ำก็เป็นไปตามฤดูกาล ขณะที่  นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง เดินทางมาตามลำดับ 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ตนมาดูสถานที่ห้องทำงาน ซึ่งเป็นห้องทำงานเดิมของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะอดีตรองนายกฯ ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ยังไม่มีการแบ่งงานในตำแหน่งรองนายกฯ ส่วนจะได้กำกับดูแลกระทรวงอะไรหรือไม่นั้น ขอให้รอนายกฯ ซึ่งตนไม่เหมาะที่จะพูดไปก่อน หากพูดไปก่อนก็คงไม่ดี พร้อมปฏิเสธว่าตนไม่ได้ดูโครงการโคแสนล้าน

ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้แล้วใช่หรือไม่จะได้กำกับกระทรวงอะไรบ้าง แต่ไม่สามารถพูดได้ นายสุริยะ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยแบบคร่าวๆ แต่หากไม่ถึงวัน ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้ ยืนยันว่าตนสามารถบริหารจัดการเวลาทำงานระหว่างตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.คมนาคมได้ โดยส่วนใหญ่ตนจะเข้ากระทรวงคมนาคม เป็นหลักประมาณ 80% ส่วนการมานั่งตำแหน่งรองนายกฯ ตั้งใจจะทำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่นั้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว เคยเป็นรองนายกฯ ควบรมว.อุตสาหกรรม ซึ่งไม่ใช่การดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ครั้งแรก และคิดว่าน่าจะช่วยในเรื่องภาพรวมของงาน ที่จะช่วยประสานกับกระทรวงอื่นๆ ที่จะเป็นการช่วยแบ่งเบางานนายกฯ

เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกับ นายอนุชา นาคาศัย อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ สมาชิกกลุ่มสามมิตร ที่หลุดจากตำแหน่งหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกับนายอนุชาบ้าง และก็ได้มีการให้กำลังใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับทางผู้บริหารพรรค เมื่อถามย้ำว่า การที่อยู่คนละพรรคจะมีการดึงนายอนุชามาช่วยงานหรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า การที่จะมาช่วยในลักษณะงานทั่วๆไป ก็คงไม่ไม่มีปัญหา ซึ่งตนพร้อมที่จะรับฟังอยู่แล้ว

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนายสุริยะเดินทางมาถึงทำเนียบฯ ได้มี ส.ส.เพื่อไทยจำนวนมาก อาทิ น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย , นายโกศล ปัทมะ ส.ส.นครราชสีมา , นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ นำกระเช้าดอกไม้มาแสดงความยินดีในการได้รับตำแหน่งใหม่ครั้งนี้ด้วย

ด้าน นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีนายสุริยะนั่งควบตำแหน่งรองนายกฯ ซึ่งจริงๆ แล้วในกระทรวงมีการแบ่งงานรัฐมนตรีช่วยทั้ง 2 คนแล้ว อีกทั้งนายสุริยะก็ดูแลกระทรวงอื่นๆ ด้วย ซึ่งงานภายในกระทรวงไม่สะดุดอะไร ฉะนั้นประเด็นที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน และดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล กระทรวงคมนาคม ก็ทุ่มเททำงานมาโดยตลอด ส่วนการเพิ่มงานที่ได้รับมอบหมาย ตนเชื่อว่านายสุริยะทำได้ดี เพราะเคยดำรงตำแหน่งรองนายกฯ มาก่อน และจากการเดินทางไปต่างประเทศกับนายกฯ บ่อยๆ ก็จะหาสิ่งแปลกใหม่มาพัฒนาประเทศ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะเชื่อมโยงรองนายกฯ และ รมว.คมนาคม

ส่วน นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ  ได้เรียกตน และน.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม เข้าพบ เพื่อหารือถึงการทำงานด้านการท่องเที่ยวและงานในกระทรวงวัฒนธรรม และรับทราบนโยบายจากนายกฯ ซึ่งส่วนตัวได้ทำการบ้านมาแล้วบางส่วนตามแผนงานที่กระทรวงการท่องเที่ยวได้วางไว้ จึงต้องรีบศึกษางานเพื่อจะทำให้เกิดความต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า งานกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ถือว่าเป็นงานถนัดหรือไม่ นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า คิดว่าทำได้ ตนจะมุ่งมั่นทำงานในส่วนนี้เพราะถือว่าเป็นงานที่สร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ประชาชน ซึ่งเนื้องานของกระทรวงวัฒนธรรมที่ตนเคยดำรงตำแหน่งอยู่ กับงานกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ซึ่งเป็นกระทรวงใหม่ถือว่ามีลักษณะเป็นเนื้อเดียวกัน สามารถต่อยอดกันได้ เพราะกระทรวงวัฒนธรรมเป็นฐานของคำว่าซอฟต์พาวเวอร์และนำคุณค่ามาต่อยอดเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง ซึ่งตนจะมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวให้มากที่สุดทำให้ประชาชนมีอาชีพมีรายได้ แก้จนตามนโยบายของรัฐบาล

เมื่อถามว่า กดดันหรือไม่ที่ต้องมาทำงานในส่วนของกระทรวงเศรษฐกิจหลักของประเทศ นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่กดดัน แต่รู้สึกภูมิใจที่นายกฯให้ความไว้วางใจว่าตนสามารถทำงานนี้ได้ เมื่อถามว่ามองเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้อย่างไร ที่รัฐมนตรีบางคนแสดงความไม่พอใจ นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า การปรับครม.ทุกครั้งก็มีทั้งผู้ที่พอใจและไม่พอใจมาโดยตลอด

เมื่อถามว่า มองการสลับกระทรวงกับน.ส.สุดาวรรณ อย่างไร นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า ในทางนโยบายแล้วคงต้องร่วมกันทำงาน ซึ่งล่าสุดยังไม่ได้มีการพูดคุยถึงการส่งมอบงานระหว่าง 2 กระทรวง เนื่องจากทั้งตนและน.ส.สุดาวรรณเพิ่งจะมาเจอกันในวันเดียวกันนี้ แต่ในเบื้องต้นตนมอง น.ส.สุดาวรรณ เหมือนลูก เหมือนน้อง ทำงานกันมาด้วยดีมาโดยตลอด และคงจะเป็นไปด้วยความราบรื่นเกื้อกูล สนับสนุนซึ่งกันและกันต่อไป

นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม  ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่เดินทางมาแสดงความยินดีกับนายสุริยะให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ถูกปลด ทั้งๆ เป็นกำลังสำคัญของพรรคในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ว่า นพ.ชลน่านเป็นนักการเมืองมาอย่างยาวนาน มาเจอบรรยากาศแบบนี้ ตนเชื่อว่าเขาเข้าใจได้ แล้ววันหนึ่งอาจจะได้กลับมาทำหน้าที่อีก

นายครูมานิต ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ หลังถูกปรับพ้นตำแหน่งรองนายกฯ  จะส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่า ไม่กระทบ นายปานปรีย์อาจจะเก่งเรื่องวิชาการแต่ไม่มีคุณสมบัติการเป็นนักการเมือง ความอดทนอดกลั้นไม่มี บางฤดูเข้าไปอยู่ในพรรคก็หายไป ตอนที่มีพรรคไทยรักษาชาติ ก็ไปเดินอยู่ในพรรคไทยรักษาชาติ พอจะมีการจัดตั้งทีมให้ออกไปช่วยงานการเมือง ก็หายไปอีก

นายครูมานิต กล่าวว่า มองว่านายเศรษฐาให้เกียรติมาก ที่ให้เป็นรมว.ต่างประเทศและเป็นรองนายกฯ  ครั้งนี้ทราบว่านายกฯ ได้พูดคุยแล้วให้รับหน้าที่อยู่ที่กระทรวงเดียว เพราะอยากให้คนอื่นมาทำบ้าง หลายเรื่องต้องมีความผูกพันกับพื้นที่ ซึ่งนายปานปรีย์ ไม่เคยรู้จักพื้นที่อยู่แล้ว และการที่ได้มารับผิดชอบกระทรวงการต่างประเทศถือว่าเป็นตำแหน่งใหญ่โตแล้ว เวลาไปเมืองนอกก็เทียบเท่าเป็นบุคคลสำคัญของประเทศไทย ส่วนการส่งหนังสือลาออกให้สื่อมวลชนก่อนส่งให้นายกฯ มองว่าไม่แฟร์ทางการเมือง และพิสูจน์ให้เห็นว่าคนแบบนี้ขาดน้ำอดน้ำทน อยู่กับการเมืองลำบากอยู่ไม่ได้ และในที่สุดก็ต้องอัปเปหิตัวเองออกมา

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในอนาคตนายปานปรีย์จะยังทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายครูมานิตย์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ดูถูกดูแคลนเขา เขาเกิดมาไม่ได้มีคุณสมบัติของการเป็นนักการเมือง การเป็นนักบริหาร ซีอีโอเป็นได้ แต่ทางการเมืองนอกจากเป็นนักบริหารแล้ว ต้องมีความเป็นนักการเมืองด้วย เพราะเป็นงานที่หนัก ต้องมีการบริหารพื้นที่บริหาร ส.ส. บริหารราชการแผ่นดิน เรื่องทุกข์สุขปากท้องชาวบ้านมีเยอะ และเรื่องนี้ยืนยันว่าไม่กระทบต่อพรรคเพื่อไทย เพราะนายปานปรีย์ ไม่ใช่คีย์แมนคนสำคัญของพรรค คนที่เก่งสามารถบริหารกระทรวงการต่างประเทศได้มีอีกเยอะ
 
ด้าน น นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงการลาออกของนายปานปรีย์ จะมีแรงกระเพื่อมภายในพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่า ตำแหน่งทางการเมืองก็มีทั้งคนเข้าและคนออก ตนขอส่งกำลังใจให้กับรัฐมนตรีที่ไม่ได้รับตำแหน่งในครั้งนี้ การเป็นนักการเมืองต้องยอมรับสภาพในสิ่งที่เราได้รับมอบหมายงาน แต่สาระสำคัญคือการทำหน้าที่เพื่อประชาชน ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ซึ่งทุกคนที่อยู่ในพรรคเพื่อไทยก็จะต้องร่วมไม้ร่วมมือกับรัฐบาล และคนที่เป็น สส.ก็จะต้องทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง
ส่วนกรณีของนายปานปรีย์ ตนก็เคารพการตัดสินใจ และพรรคเพื่อไทย ในความเป็นสถาบันทางการเมือง เรายึดในตัวอุดมการณ์ของพรรคและตัวบุคคล สมาชิกพรรคถือเป็นส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ ทราบว่านายเศรษฐาได้ทูลเกล้าฯรายชื่อ รมว.ต่างประเทศคนใหม่แล้ว ดังนั้นตนเข้าใจว่าคนที่ออกไปและคนที่เข้ามาใหม่ ก็ทุ่มเทการทำงานให้กับรัฐบาลและประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ได้ยื่นจดหมายลาออกจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยแจ้งลาออกกรรมการ กรรมการตรวจสอบ บริษัทธนูลักษณ์ ให้มีผลตั้งแต่วานนี้ (29 เมษายน 2567) หลังมีชื่อในโผรมว.ต่างประเทศคนใหม่ แทนนายปานปรีย์ที่ลาออก หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ใน ครม. เศรษฐา 1/1

ขณะที่ นายเศรษฐาได้นำชื่อนายมาริษ อดีตที่ปรึกษารมว.ต่างประเทศ ขึ้นทูลเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ โดยได้เรียกนายมาริษเข้าพบที่ตึกไทยคู่ฟ้า
ที่รัฐสภา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาเตือนว่าไม่ควรเชิญชวนคนมาลงสมัคร สว.ว่า ตนเพิ่งเดินทางกลับมาจากลงพื้นที่ภาคอีสาน โดยไปที่ จ.หนองบัวลำภู , จ.อุดรธานี , จ.สกลนคร และ จ.มุกดาหาร ปรากฏว่ามีผู้ตอบรับดีมาก และสนใจที่จะลงสัคร สว.อิสระเป็นจำนนมาก ซึ่งรู้สึกดีใจที่การรณรงค์ของคณะก้าวหน้าทำให้ประชาชนตื่นตัว และเข้าใจการเลือก สว.ครั้งนี้มากขึ้น


เมื่อถามว่า มองว่าการรณรงค์ดังกล่าวเป็นกลุ่มการเมืองที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเลือก สว. นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเรารณรงค์ให้คนทุกอุดมการณ์ไปสมัคร สว.และยังมีคนไปสมัคร มีส่วนร่วมกับการเลือก สว.มากเท่าไหร่ ตนคิดว่าสุขภาพของการเลือก สว.จะมีดีมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ขอเชิญชวนทุกคน ไม่ว่าจะสนับสนุนพรรคอะไร จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบไหน หากท่านมีคุณสมบัติ เราเชิญชวนทุกคนให้ไปลงสมัคร สว.ด้วยกัน

"หากถามว่ากลัวหรือไม่จะถูกตั้งข้อครหาว่ารณรงค์ให้มี สว.สีส้ม ก็ขอเรียนว่า วัตถุประสงค์ที่เรารณรงค์เราไม่ได้ต้องการให้ สว.เลือกฝักเลือกฝ่าย และเราไม่ต้องการให้มี กกต.เลือกฝักเลือกฝ่าย เราไม่ต้องการศาลรัฐธรรมนูญที่เข้าข้างนายธนาธร เราไม่ต้องการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เข้าข้างพรรคก้าวไกล แต่เราต้องการ สว.ที่เป็นกลาง และต้องการ กกต.ที่ตัดสินด้วยการยึดหลักที่ถูกต้อง รวมทั้งต้องการ ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญที่มั่นคง เป็นธรรม คืนความยุติธรรมให้กับสังคม เพราะเรารู้ว่าถ้าองค์กรต่างๆ เหล่านี้สนับสนุนพวกเราก็จะมีปรากฏการณ์ลงถนนกันอีก"

นายธนาธร กล่าวว่า กกต.ควรสนับสนุนตนในการเชิญชวนคนมาเลือก สว.เพราะเป็นหน้าที่ของ กกต.การรณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัวเข้ามามีส่วนร่วม อย่างที่ตนทำอยู่เป็นสิ่งที่นำไปสู่การพัฒนาระบบการเมืองไทย ทำให้คนตื่นตัวเห็นถึงความสำคัญของการเลือก สว.ดังนั้น ต้องบอกว่าอยากให้ กกต.มองบทบาทของเราคือการทำให้คนตื่นตัวทางการเมือง ซึ่งจะเป็นผลดี ดังนั้น ตนไม่เข้าใจว่าการไปรณรงค์ให้คนสมัคร สว.และเลือก สว.อย่างไร และควรจะเป็นหน้าที่ของ กกต.แ